Browse By

Monthly Archives: October 2025

เอ็นโซ่ มาเรสก้า ติดโทษแบน ห้ามคุมทีมข้างสนาม 1 นัด

เอ็นโซ่ มาเรสก้า กับชัยชนะของเชลซีเหนือคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล 2-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ กลายเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดราม่า และอารมณ์ร่วมอย่างเข้มข้นทั้งในสนามและข้างสนาม แฟนบอล “สิงห์บลูส์” ต่างระเบิดเสียงเฮสนั่นเมื่อทีมรักสามารถคว้าชัยในนาทีสุดท้ายจากประตูชัยของโคล พาลเมอร์ ทว่าความสะใจในคืนนั้นกลับมีรสขมสำหรับกุนซืออย่างเอ็นโซ่ มาเรสก้า ที่ต้องถูกไล่ออกจากสนามในช่วงท้ายเกมจากการดีใจเกินขอบเขต จนล่าสุดพรีเมียร์ลีกยืนยันโทษแบนห้ามคุมทีมข้างสนาม 1 นัดสำหรับเขาเป็นที่เรียบร้อย เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 96 ของเกม เมื่อเชลซีได้ประตูชัยสุดดราม่าจากจังหวะยิงซ้ำของพาลเมอร์ หลังจากบอลกระดอนจากการป้องกันของอลิสซอน เสียงเฮดังสนั่นไปทั่วสแตมฟอร์ด บริดจ์ แฟนบอลลุกขึ้นโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง และท่ามกลางความดีใจสุดขีดนั้น เอ็นโซ่ มาเรสก้า ซึ่งอยู่ข้างสนามก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้ เขาวิ่งตะโกนออกมาจากเขตเทคนิค โผเข้ากอดทีมงานสตาฟฟ์และผู้เล่นสำรอง ก่อนหันไปดีใจต่อหน้าม้านั่งของลิเวอร์พูลอย่างสะใจ ซึ่งกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย กรรมการที่สี่รีบรายงานเหตุการณ์ให้ผู้ตัดสินในสนามทราบ และไม่นานหลังจากนั้นใบแดงก็ถูกชูขึ้นต่อหน้ามาเรสก้า ท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนบอลเจ้าบ้านและความไม่พอใจของทีมงานเชลซี เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นร้อนหลังเกม เพราะหลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียงการแสดงอารมณ์ในช่วงเวลาสำคัญ แต่ตามกฎของพรีเมียร์ลีก การออกนอกเขตเทคนิคและแสดงพฤติกรรมยั่วยุคู่แข่งถือเป็นความผิดที่เข้าข่ายการประพฤติไม่เหมาะสม หลังจบเกม มาเรสก้าให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายังมีอารมณ์ค้างจากเกมว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นใคร

มาร์ติน โอเดการ์ด ถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนจบครึ่งแรก 3 เกมติดต่อกัน

มาร์ติน โอเดการ์ด ชัยชนะของอาร์เซน่อลเหนือเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-0 ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม กลายเป็นค่ำคืนที่ทั้งน่ายินดีและน่าฉงนในเวลาเดียวกัน สำหรับแฟนบอล “เดอะ กันเนอร์ส” เพราะแม้ทีมจะเก็บสามคะแนนได้สำเร็จและยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดกลับไม่ใช่ประตูของบูกาโย่ ซาก้า หรือกาเบรียล เชซุส หากแต่เป็นการถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนจบครึ่งแรกของมาร์ติน โอเดการ์ด — กัปตันทีมผู้เป็นหัวใจของเกมรุก ที่สร้างสถิติอันน่าประหลาดใจขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด โอเดการ์ด กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนหมดครึ่งแรก 3 นัดติดต่อกัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่มีใครอยากจดจำ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นกับนักเตะระดับกัปตันทีมและจอมทัพคนสำคัญของสโมสร ความจริงข้อนี้ทำให้เกิดคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และเพราะเหตุใด มิเกล อาร์เตต้า จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวกัปตันทีมออกในเวลาที่เร็วเช่นนั้น ตลอดช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา มาร์ติน โอเดการ์ด คือหัวใจของอาร์เซน่อลในยุคอาร์เตต้า เขาคือผู้นำที่สงบนิ่ง ผู้มีความเข้าใจเกมในระดับสูง และเป็นตัวเชื่อมระหว่างแดนกลางกับแนวรุกอย่างสมบูรณ์แบบ การจ่ายบอลที่เฉียบคม การหาพื้นที่ในครึ่งช่อง และการประสานงานกับซาก้าทางฝั่งขวาคือสิ่งที่ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมที่มีเกมรุกหลากหลายและอันตรายที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฟอร์มของโอเดการ์ดกลับดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านจังหวะการสร้างเกม

ลิเวอร์พูลกำลังเผชิญหลุมดำหลังการหายไปของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

ลิเวอร์พูลกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากที่สุดในฤดูกาลนี้ เมื่อพวกเขาต้องลงสนามโดยปราศจากหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทีมอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษที่เป็นทั้งหัวใจในการสร้างเกมรุกและตัวเชื่อมระหว่างแดนหลังกับแดนหน้า การขาดหายไปของเขากลายเป็นเหมือน “หลุมดำ” ที่ดูดพลังและความมั่นใจของทีมลงไปอย่างช้า ๆ ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลในช่วงหลังตกลงอย่างเห็นได้ชัด และเสียงวิจารณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่าทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่สามารถหาคำตอบในการแทนที่นักเตะรายนี้ได้เลย เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ได้เป็นเพียงแบ็กขวาธรรมดา เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่เปลี่ยนมิติของตำแหน่งฟูลแบ็กในยุคใหม่ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเกมรุก การจ่ายบอลยาวที่แม่นยำ การเปิดบอลจากด้านข้าง และการอ่านเกมที่ชาญฉลาด ทำให้เขามีบทบาทไม่ต่างจากเพลย์เมกเกอร์ในทีม ความสามารถในการวางบอลข้ามฟากจากฝั่งขวาไปซ้าย หรือการเปิดบอลทะลุแนวรับคู่แข่งอย่างแม่นยำ คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลใช้เป็นอาวุธสำคัญในการเจาะแนวรับคู่แข่งตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา แต่เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องพักยาวหลายสัปดาห์ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป รูปแบบการเล่นที่เคยไหลลื่นกลับกลายเป็นติดขัด จังหวะการขึ้นเกมจากแดนหลังขาดความแม่นยำ การเชื่อมต่อระหว่างแนวรับกับแนวรุกสะดุดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกที่เคยเป็นจุดแข็งของทีม กลับกลายเป็นช่วงที่เสียจังหวะไปอย่างน่าเสียดาย ในช่วงที่เทรนท์ไม่อยู่ คล็อปป์เลือกใช้อิโบ โกเมซ ลงเล่นแทนในตำแหน่งแบ็กขวา แม้จะมีความแข็งแกร่งทางกายภาพและความเร็วที่ดี แต่เขาขาดความสามารถในการสร้างสรรค์เกมและการจ่ายบอลแม่นยำแบบที่เทรนท์ทำได้ การขาดความสมดุลในจุดนี้ส่งผลให้ฝั่งขวาของลิเวอร์พูลดูอ่อนลงในเชิงรุกอย่างชัดเจน เกมรุกของลิเวอร์พูลที่เคยพึ่งพาการขึ้นเกมจากริมเส้นทั้งสองข้าง โดยมีเทรนท์ทางขวาและแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันทางซ้าย เป็นระบบที่ทำงานอย่างลงตัวมาหลายปี แต่เมื่อฟูลแบ็กขวาหายไป

เรอัล มาดริด 3 – บียาร์เรอัล 1

ค่ำคืนที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว แฟนบอล เรอัล มาดริด ได้เห็นการแสดงพลังของทีมรักอีกครั้ง เมื่อราชันชุดขาวเปิดบ้านเอาชนะบียาร์เรอัลไปได้ 3-1 ในศึกฟุตบอลลา ลีกา สเปน แม้จะต้องเจอกับความกดดันจากเกมรับอันเหนียวแน่นของทีมเยือนในช่วงต้น แต่ด้วยคุณภาพ ความเฉียบคม และประสบการณ์ในเกมใหญ่ ทำให้ลูกทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ สามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างคู่ควร พร้อมเก็บสามคะแนนสำคัญเพื่อรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของลีกอย่างมั่นคง บรรยากาศก่อนเกมเต็มไปด้วยความคาดหวังจากแฟนบอลราชันชุดขาวทั่วโลก ทีมของอันเชล็อตติอยู่ในช่วงฟอร์มดีต่อเนื่อง และมีความมั่นใจสูงหลังจากผ่านศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เกมนี้เป็นอีกหนึ่งบททดสอบของพวกเขา เพราะบียาร์เรอัลแม้จะอยู่อันดับกลางตาราง แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องแท็กติกที่รัดกุมและการเล่นโต้กลับที่อันตราย เสียงนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้น ทันทีที่บอลเริ่มกลิ้ง เรอัล มาดริดก็เป็นฝ่ายครองเกมตามคาด พวกเขาเปิดฉากบุกใส่ทันทีด้วยความเร็วและการเคลื่อนที่ที่แม่นยำ บอลไหลไปมาอย่างรวดเร็วจากเท้าของโทนี่ โครส, จู๊ด เบลลิงแฮม และลูก้า โมดริช ซึ่งสามประสานในแดนกลางสามารถควบคุมจังหวะได้อย่างสมบูรณ์แบบ เกมรุกของราชันชุดขาวดูไหลลื่นและอันตรายในทุกครั้งที่เข้าพื้นที่สุดท้าย เพียงนาทีที่ 9 แฟนบอลในเบร์นาเบวก็ได้เฮลั่นสนาม เมื่อเรอัล มาดริดได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากจังหวะการประสานงานสุดสวย บอลเริ่มต้นจากวินิซิอุส

โคดี้ กัคโป ยอมรับไม่ได้ ที่ลิเวอร์พูลต้องพบกับความพ่ายแพ้ติดต่อกัน

โคดี้ กัคโป สถานการณ์ในถิ่นแอนฟิลด์ช่วงนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและแรงกดดัน หลังจากที่ลิเวอร์พูลต้องพบกับความพ่ายแพ้ติดต่อกันถึงสามนัดในทุกรายการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับทีมระดับยักษ์ใหญ่อย่างพวกเขาในยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ ความผิดหวังนี้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของนักเตะและแฟนบอลอย่างชัดเจน โดยล่าสุด โคดี้ กัคโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “ผลงานแบบนี้สำหรับทีมอย่างลิเวอร์พูลเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”คำพูดของกัคโปสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจภายในทีมต่อฟอร์มการเล่นที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง ลิเวอร์พูลแพ้สามเกมติด ทั้งในพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลถ้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทีมต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ผลงานดังกล่าวทำให้ทีมร่วงจากกลุ่มลุ้นแชมป์และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลและสื่ออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเรื่องของความเฉียบคมในแนวรุกและความผิดพลาดในเกมรับที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โคดี้ กัคโป ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังเกมล่าสุดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขากล่าวว่า “เราคือทีมใหญ่ เรามีนักเตะที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเรายังเล่นแบบนี้ เราก็จะไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ มันไม่ใช่เรื่องของโชค แต่มันคือเรื่องของสมาธิ ความมุ่งมั่น และการทำงานหนักในทุกนาทีของเกม” คำพูดของกองหน้าดัตช์วัย 25 ปีรายนี้สะท้อนถึงความเป็นผู้นำและความรับผิดชอบที่เขามีต่อทีม แม้จะเพิ่งย้ายมาค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์ได้ไม่นาน แต่เขาได้กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่กล้าแสดงออกถึงความจริงในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ลิเวอร์พูลในช่วงต้นฤดูกาลถือว่ามีผลงานที่ดี พวกเขาเปิดฉากได้อย่างมั่นใจ มีเกมรุกที่ดุดันและจังหวะการเล่นที่แม่นยำ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างเริ่มแผ่วลง ปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลักอย่างโมฮาเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

อตาลันต้า ขึ้นนำก่อนโดน โคโม่ ตามตีเสมอ 1-1

เกมเซเรีย อา อิตาลี นัดล่าสุดที่สนามสตาดิโอ จูเซ็ปเป้ ซินิกา ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและความดราม่า อตาลันต้า บุกไปเยือนทีมน้องใหม่อย่างโคโม่ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการออกนำตั้งแต่ช่วงต้น แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อเจ้าถิ่นฮึดสู้และไล่ตีเสมอในช่วงครึ่งหลัง ทำให้จบเกมด้วยผลเสมอ 1-1 แบ่งกันไปทีมละหนึ่งแต้มแบบสุดมันส์ แฟนบอล เกมนี้มีความสำคัญต่อทั้งสองทีมในบริบทที่แตกต่างกัน อตาลันต้า ซึ่งอยู่ในกลุ่มหัวตารางต้องการชัยชนะเพื่อเก็บสามคะแนนสำคัญไล่จี้จ่าฝูง ขณะที่โคโม่ต้องการแต้มเพื่อขยับหนีโซนตกชั้นและยืนยันว่าพวกเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะอยู่รอดในลีกสูงสุดได้อย่างมั่นคง บรรยากาศก่อนเกมเต็มไปด้วยความคึกคักจากแฟนบอลเจ้าบ้านที่แห่มาให้กำลังใจทีมรักอย่างเนืองแน่น เสียงเพลงเชียร์และธงสีน้ำเงินขาวโบกสะบัดไปทั่วสนาม สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นแต่แฝงความตื่นเต้น เริ่มเกมมาได้เพียงไม่ถึง 10 นาที อตาลันต้าแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของทีมใหญ่ พวกเขาครองบอลได้ดีกว่าและเล่นด้วยจังหวะที่รวดเร็ว การต่อบอลจากแดนกลางผ่านเท้าของเทวน คูปไมเนอร์ส และมาริโอ ปาซาลิช เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดเกมบุก ขณะที่แนวรุกนำโดยชาร์ลส์ เดอ เคเตลาเอเร และอดาโมล่า ลุคแมน คอยสร้างความปั่นป่วนให้แนวรับของเจ้าถิ่นอย่างต่อเนื่อง แล้วความพยายามของทีมเยือนก็สัมฤทธิ์ผลในนาทีที่ 12 เมื่ออตาลันต้าได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย คูปไมเนอร์สเปิดบอลโค้งเข้าไปหน้าประตู และเป็นจานลูก้า สคามัคค่า ที่ขึ้นโหม่งเต็มศีรษะ